ชิปปิ้ง ในปี 2020 นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่คนทั้งโลกจะเห็นการเพิ่มขึ้นของประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในการค้าปลีก โดย Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก คาดการณ์ไว้ว่า 81% ของการซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหมดในปี 2020 จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ อีกทั้งจะมองเห็นปัญหาด้านการขนส่ง(ชิปปิ้ง)ของบริษัทเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตไวรัสโคโรนา เช่น ขนส่งล้าช้า และเวลาเปิดให้บริการที่สั้นลง
ปัจจุบันผู้ซื้อออนไลน์มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และราคาอย่างกว้างขวางผ่านข้อมูลและการวิจัยทางออนไลน์ แต่ด้วยความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เป็นผลให้ผู้ค้าปลีกต้องมีวิวัฒนาการเพื่อนำไปสู่วิธีการผ่านนวัตกรรมดิจิตอลและกลายเป็น ‘แบรนด์แห่งอนาคต’
ในขณะที่เราดำเนินการไปจนถึงปี 2020 ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ลูกค้าของพวกเขาสามารถสลับระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างราบรื่น โดยผูกการตลาดออนไลน์เป็นการกระทำแบบออฟไลน์ เช่น การเยี่ยมชมภายในร้านและการขายสินค้า ซึ่งสิ่งนี้จะกำหนดให้ผู้ค้าปลีกต้องอัพเกรดคลังสินค้าดิจิทัลที่มีอยู่ ด้วยเครื่องมือที่สนับสนุนเป้าหมาย เพื่อมุ่งเน้นไปที่การขายสินค้า การตลาด และการบริการลูกค้า
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่มองไม่เห็น และวิธีที่ผู้บริโภคใช้สื่อสารกับแบรนด์โปรดของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว Ninjashipping ได้รวบรวมแบบเจาะลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีสำคัญ 7 สิ่ง ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้าปลีก และตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence )
ภายในปี 2020 นี้ Gartner คาดว่าจะมีการรวบรวมข้อมูลมากขึ้น และผู้ค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดของการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อใช้นำทำนายแนวโน้มและคาดการณ์ถึงความต้องการของการให้บริการลูกค้าในอนาคต
2. ความจริงเสมือน (VR: Virtual Reality)
VR เทคโนโลยีที่คอมพิวเตอร์จำลองสภาพแวดล้อมเสมือน เสนอวิธีที่น่าสนใจแก่ผู้ค้าปลีกเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น สำหรับการมีส่วนร่วมและแบ่งปันประสบการณ์ตรง เช่น IKEA สาธิตการสร้างห้องครัวที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะได้เห็นและทดลองก่อนตัดสินใจซื้อ
ตลอดปี 2020 คาดว่าจะได้เห็นเทคโนโลยี VR กลายเป็นสิ่งที่นำมาปรับใช้กับเป็นธุรกิจ และนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นทั่วทุกพื้นที่ค้าปลีก
3. บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM: Customer Relationship Management)
โซลูชัน CRM ที่มีประสิทธิภาพจะเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจ และมีส่วนร่วมกับฐาน กล่าวคือ ผู้ค้าปลีกสามารถขยายขอบเขตของการตลาดและขยายโครงสร้างโปรไฟล์ลูกค้าและให้บริการอย่างต่อเนื่องได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยระบบการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ CRM
4.ระบบการจัดการเนื้อหา (CMS: Content Management System) เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป
การสร้างแบรนด์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย CMS จะช่วยสร้างเนื้อหาเว็บที่น่าสนใจและมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถควบคุมประสบการณ์ของผู้ซื้อ และความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคได้ในตัว
5. การจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ (PIM: Product information management)
โซลูชัน PIM จะช่วยให้การสร้างและส่งมอบประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจ รวดเร็ว และง่ายขึ้น ทั้งนี้ PIM ที่ดำเนินการอย่างดีนั้น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเสนอเนื้อหาผ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องและทันเวลา
6. E-Commerce
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เชื่อถือได้ ไม่เพียงแต่ช่วยมอบการกำหนดราคา และการจัดส่งที่ทันสมัยเท่านั้น แต่มีส่วนสำคัญในการรับรู้แบรนด์ของลูกค้า (Brand Awareness) Web Store ที่ปรับให้เหมาะกับมือถือ หรืออุปกรณ์การสื่อสาร ทำให้ใช้งานง่ายและและช่วยให้ผู้ค้าปลีกตอบสนองต่อโอกาสทางการตลาดที่รวดเร็วและนำเสนอลูกค้าด้วยบริการระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
7. Chatbots
ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการพูดคุยกับผู้ค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์และธุรกิจ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของผู้ซื้อ เทคโนโลยี Chatbots ล่าสุดที่ใช้ซอฟต์แวร์ประมวลผล (NLP : Natural Language Processing) ช่วยให้คำตอบนั้นได้รับการปรับแต่งและมีความซับซ้อนเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ดิจิทัลของลูกค้า สามารถที่จะสร้างหรือทำลายธุรกิจค้าปลีกได้ในปี 2020 เลยทีเดียว หากผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทศวรรษหน้า พวกเขาจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างมีกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อทีม และเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้าในทุกขั้นตอน