ชิปปิ้ง 6 อุตสาหกรรมเสี่ยง ที่จะได้รับผลกระทบจาก Amazon

ชิปปิ้ง 6 อุตสาหกรรมเสี่ยง ที่จะได้รับผลกระทบจาก Amazon-Ninjashipping ชิปปิ้ง ชิปปิ้ง 6 อุตสาหกรรมเสี่ยง ที่จะได้รับผลกระทบจาก Amazon 6                                                                                                                  Amazon Ninjashipping 768x402

ชิปปิ้ง กับ Amazon ต้นกำเนิดของแพลตฟอร์ม E-Commerce ของโลกและเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา จนว่ากันว่า ไม่มีอะไรที่คุณจะหาไม่เจอใน Amazon

ตั้งแต่สินค้าในหมวดบันเทิงไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค  Amazon ยังถือเป็นต้นแบบของแพลตฟอร์ม E-Commerce อื่นๆ ที่เปิดตัวตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Taobao หรือ Tmall รวมทั้งยังก่อให้เกิดธุรกิจชิปปิ้งหรือนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอีกด้วย

        ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ Amazon ได้พัฒนาระบบให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ทั้งการนำระบบคลาวด์มาใช้ ตลอดจนนวัตกรรมต่างๆ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีความเป็นนวัตกรรมมากที่สุดอันดับ 1 ในปี 2017 จึงอาจเรียกได้ว่า Amazon เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลและสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาคอื่นๆ ไปทั่วโลก

        วันนี้ Ninjashipping ตัวแทนชิปปิ้งที่อยู่วงการนี้มานาน ได้หยิบยกเอา Case Study อย่าง Amazon กับผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมด้านอื่นๆ ของโลก และสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับ ยิ่งมีอิทธิพลมากเพียงใด ผลกระทบก็ยิ่งกระจายไปในวงกว้างมากเท่านั้น

       1. สินค้าอุปโภคบริโภค

         Amazon มีส่วนในการเพิ่มแรงกดดันด้านราคาในตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภค พื้นที่จำหน่ายสินค้าบน Amazon ได้สร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับแบรนด์รายย่อยอื่นๆ ที่นอกจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์จะเลือกซื้อแต่สินค้าจากเหล่าแบรนด์ใหญ่ชื่อดังแล้ว แต่ข้อเสนอให้เป็นตราสินค้าในเครือของ Amazon บนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ยังถือเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่กว่า เนื่องจากแพล็ตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่รวมอยู่ใน Amazon นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าร้านค้าทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อสินค้าอุปโภคและบริโภคอย่างมีนัยสำคัญ

       2. ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

       Amazon พร้อมจะเข้าสู่ภาคสุขภาพของสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ด้านผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า Amazon กำลังพัฒนาร้านขายยาออนไลน์เพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เมื่อเร็วๆนี้ Amazon มีร้านขายยาออนไลน์ ที่ปัจจุบันอนุญาตให้ผู้ซื้อสั่งซื้อยาออนไลน์และจัดการกับใบสั่งยาของพวกเขาเองได้ รวมทั้งการร่วมทุนของ Amazon กับผู้ให้บริการประกันสุขภาพชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกของผู้ให้บริการประกันสุขภาพรายอื่นที่เป็นคู่แข่งได้

       ในขณะเดียวกัน Amazon ก็กำลังคิดริเริ่มในด้านสุขภาพอื่นๆ ที่สอดคล้องกับการดำเนินงานดังกล่าว รวมถึงการแจกจ่ายยาให้กับผู้ขายและมอบ Amazon Web Services แพลตฟอร์มระบบคลาวด์ที่ครอบคลุมและใช้งานกันมากที่สุดให้กับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ อีกทั้งยังผลักดันร้านขายยาออนไลน์อย่าง PillPack ที่เป็นบริการสั่งซื้อยาออนไลน์และให้บริการจัดส่งยาตามใบสั่งแพทย์พร้อมกับฉลากยาส่งให้ผู้ซื้อถึงบ้าน และสามารถแจ้งเตือนเวลารับประทานยาได้อีกด้วย 

       3. ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้านไอที

       Amazon กำลังจะปฏิวัติอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ไอทีแบบดั้งเดิม ผู้ประกอบการด้านไอทีต่างเริ่มเปลี่ยนความคิดในการใช้เทคโนโลยีแล้ว เห็นได้จากบริษัทด้านไอทีหลายบริษัทหลีกเลี่ยงการใช้ฐานข้อมูลของตนเอง เพื่อที่จะได้รับการจ้างงานจาก Amazon

       องค์กรส่วนใหญ่ใช้คลาวด์ในการดำเนินงานและแนวโน้มนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ผู้ให้บริการคลาวด์รวมถึง Amazon ได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของตนเองในการวัดขนาดทีมสนับสนุนภายในองค์กรและการควบคุมการทำงานและโครงสร้างภายในโปรแกรม(white-box hardware) เพื่อที่จะได้ตัดผู้ให้บริการฮาร์ดแวร์ไอทีแบบดั้งเดิมออก

      ระบบคลาวด์รวมถึง Next Generation Firewall (NGFW) ที่เป็น Firewall ที่ใช้รับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและการใช้งานของผู้ใช้งานที่หลากหลาย ได้เริ่มมีอิทธิพลต่อการใช้ฮาร์ดแวร์ไอทีแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่การคัดค้านการเติบโตในโครงสร้างไอทีแบบดั้งเดิม เนื่องจากบริษัทส่วนมากหันมาใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น

       4. การชำระเงิน

       Amazon ได้แสดงความต้องการอย่างชัดเจนในการสร้างแพลตฟอร์มการชำระเงินใหม่ เพื่อแข่งขันกับ Alipay และ Paypal โดยมุ่งมั่นที่จะเพิ่มส่วนลดเพื่อดึงดูดผู้ค้าปลีกรายย่อย พร้อมความสามารถในการเก็บยอดเงินคงเหลือและจะทำการรีแบรนด์เพื่อการนี้อีกด้วย

       Amazon เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่น่าเกรงขาม จากการรับชำระเงิน 3% ของการชำระเงินทั่วโลกผ่าน Visa และ Mastercard ด้วยฐานลูกค้ากว่า 100 ล้านรายและร้านค้ากว่า 2 ล้านร้านค้า ทำให้ Amazon กลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมในแพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์ได้ในไม่ช้า ซึ่งตอนนี้ Visa และ Mastercard ดูเหมือนจะมีการป้องกันมากขึ้น เนื่องจากการทำธุรกรรมของ Amazon มีส่วนสำคัญต่อการขายและAmazon เองก็ได้แสดงความสนใจในการเป็นพันธมิตรกับ Visa และ Mastercard เพื่อที่จะเปิดตัวบัตรเครดิตที่มีตราสินค้าของตนเอง

       5. ขายปลีก

       Amazon เริ่มต้นด้วยการเสนอสินค้าที่ผู้ประกอบการร้านค้าทั่วไปไม่สามารถจัดหาได้ ส่งผลให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดออนไลน์ขนาดใหญ่และได้รับส่วนแบ่งจากผู้ค้าออฟไลน์ที่มาใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าปลีกทั่วไปได้ต่อสู้กลับหลายวิธี รวมถึงเสนอบริการที่ไม่สามารถทำได้ในร้านค้าออนไลน์หรือแม้แต่จะทำการตลาดร้านค้าปลีกแบบ in-store ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ร้านค้าปลีกทั่วไปในชนบทก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสูงมากเท่า Amazon อยู่ดี นอกจากนั้น Amazon ยังได้ปฏิวัติภาคการค้าปลีกแบบดั้งเดิมและมีส่วนทำให้ผู้ค้าปลีกทั่วไปล้มหายไปตามๆ กัน การขายสินค้าแบบไม่มีหน้าร้านทำให้ค่าโสหุ้ย (Overhead Cost คือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผลิตสินค้าและบริการ) ของ Amazon นั้นต่ำกว่าร้านค้าปลีกรายอื่น ซึ่งทำให้มีต้นทุนต่ำและสามารถตัดราคาได้ 

       นักวิเคราะห์เศรษฐกิจบางคนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะเงินฝืดของ Amazon การว่างงานต่ำมักมาพร้อมกับการเติบโตของค่าจ้าง แต่ในทางกลับกันนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเงินเฟ้อ ซัพพลายเออร์และผู้ผลิตต่างพยายามที่จะส่งต่อภาระที่มาจากเงินเฟ้อให้กับผู้บริโภค นั่นคือวิถีของการค้าปลีกแบบดั้งเดิม แต่กับ Amazon ไม่ใช่ เพราะความสามารถในการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าและมีการแข่งขันที่สูงนั้น จะจำกัดการโยนภาระดังกล่าวได้

       6. โลจิสติกส์

       Amazon ต้องการจัดส่งพัสดุภัณฑ์และโลจิสติกส์ในราคาถูกกว่า ซึ่งได้ลงทุนไปแล้วกับเครื่องบินหลายล้านดอลลาร์เพื่อช่วยย่นระยะทางในการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็น Amazon Logistics และเครื่องมือการขนส่งจากร้านค้าไปยังลูกค้าปลายทางโดยตรง (Last mile Delivery) ที่จะลดต้นทุนการจัดส่งพัสดุได้ ตอนนี้ Amazon กำลังมองหาพันธมิตรเพื่อเริ่มต้นธุรกิจส่งพัสดุภัณฑ์ รวมทั้งยังทำงานและว่าจ้างผู้รับเหมาอื่นๆ เพื่อจัดส่งพัสดุภัณฑ์แบบ door-to-door (บริการรับส่งสินค้าที่อำนวยความสะดวกตั้งแต่การจัดการด้านเอกสาร การเดินพิธีการศุลกากร จนกระทั่งนำสินค้าไปยังปลายทางหรือถึงมือลูกค้า) รวมทั้งสามารถช่วย Amazon ลดต้นทุนด้านการขนส่งได้อีกด้วย

       นี่คืออิทธิพลของ Amazon เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่ทำให้การซื้อขายสินค้าแบบเดิมต้องหยุดชะงักไปและยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายด้าน แต่อย่างไรก็ดี วงการ E-Commerce ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การซื้อขายออนไลน์จากต่างประเทศยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น นอกจาก Amazon ยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ในเครือ Alibaba ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Taobao และ Tmall ที่ได้รับความนิยมและมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้วงการโลจิสติกส์และชิปปิ้งเติบโตขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจนำเข้าสินค้า พรีออเดอร์หรือชิปปิ้ง ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน  ดังนั้นผู้ประกอบการอาจต้องปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของตนเองและเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจในอนาคต