นำเข้าสินค้าจากจีน 5 ความต่างของการตลาด B2B และ B2C ผ่าน E-Mail

นำเข้าสินค้าจากจีน 5-ความแตกต่างของการตลาด-B2B-และ-B2C-ผ่าน-E-Mail-Ninjashipping นำเข้าสินค้าจากจีน นำเข้าสินค้าจากจีน 5 ความต่างของการตลาด B2B และ B2C ผ่าน E-Mail 5                                                                 B2B           B2C              E Mail Ninjashipping 768x402

นำเข้าสินค้าจากจีน ธุรกิจหนึ่งที่สามารถทำการตลาดผ่าน E-Mail  ได้ เป็นการทำการตลาดโดยใช้ E-Mail เป็นสื่อกลาง สำหรับใช้ในการประชาสัมพันธ์ อัพเดทข่าวสาร โปรโมชั่นหรือส่วนลดพิเศษประจำเดือน

เพื่อให้สมาชิกหรือลูกค้าของบริษัทได้ทราบข้อมูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันและแนวโน้มความนิยมจะทวีคูณมากยิ่งขึ้น ทั้งในรูปแบบของการทำธุรกิจแบบ 

B2B และ B2C 

      ธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Consumer) เป็นธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไป ส่วน B2B (Business-to-Business) นั้นเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นลูกค้าองค์กรหรือบริษัท หากธุรกิจออนไลน์ของคุณขายทั้ง B2B และ B2C อาจจะต้องปรับเปลี่ยนแคมเปญอีเมลให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าทั้งสองกลุ่มนี้ 

      วันนี้ Ninjashipping ได้รวบรวมความแตกต่างระหว่างการทำการตลาดกับลูกค้า B2B และ B2B ผ่านอีเมลมาฝาก เพื่อที่จะได้ทำการตลาดให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและตอบโจทย์มากที่สุด 

      1. การตัดสินใจ/พฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกัน 

      สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างของพฤติกรรมการซื้อระหว่างลูกค้า B2B และลูกค้า B2C ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของลูกค้าแบบ B2B จะเป็นการตัดสินใจซื้อเพื่อผลตอบแทนจากการลงทุน พวกเขาจึงพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นการตลาดผ่าน E-Mail สำหรับลูกค้าแบบ B2B จึงจำเป็นต้องให้ความรู้แก่ลูกค้าและควรขายสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เพื่อให้ตรงกับความต้องการและรู้จุดอ่อนของลูกค้าได้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวมากกว่าการขายสินค้าให้รวดเร็ว

       ในทางตรงกันข้าม การตลาดผ่าน E-Mail สำหรับลูกค้า B2C ควรมีลักษณะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการซื้อตามอารมณ์ เนื่องจากอารมณ์จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของยอดขาย คุณควรมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพฤติกรรมความพึงพอใจของลูกค้าและสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการซื้อการอย่างรวดเร็ว

       2. รอบการซื้อที่แตกต่างกัน

      ลูกค้าที่ใช้บริการธุรกิจต่างๆ มักจะใช้เวลานานในการตัดสินใจ พวกเขาจะศึกษาอย่างลึกซึ้งและประเมินผู้ให้บริการก่อนตัดสินใจ ดังนั้นแคมเปญการตลาดผ่าน E-Mail ของลูกค้า B2B อาจจะต้องใช้กระบวนการทำงานหลายอย่าง โดยมีเป้าหมายในการรักษาลูกค้าด้วยการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ ในช่วงระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าไปด้วย

       ลูกค้า B2C มักจะตัดสินใจได้เร็วขึ้นเมื่อมีการระบุรอบการเรียกเก็บเงินที่แตกต่างกัน ซึ่งการตัดสินใจซื้อของลูกค้า B2C นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์และความรวดเร็ว ดังนั้น การทำการตลาดผ่าน E-Mail สำหรับลูกค้าประเภทนี้ ควรสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ การมีส่วนร่วม ความภักดีและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

       3. เวลา

       กำหนดเวลาสำหรับทำการตลาดผ่าน E-Mail ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่ออัตราการเปิดและคลิก อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการสำรวจเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่มีบทสรุปว่าเวลาที่ดีที่สุดในการส่ง E-Mail คือเวลาใด แต่ผลการสำรวจส่วนใหญ่พบว่า E-Mail ที่ส่งในวันธรรมดามีประสิทธิภาพสูงกว่าการส่งในวันหยุด ส่วนวันที่ดีที่สุดที่จะทำให้มีการซื้อขายคือวันอังคาร อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าหรือบริการที่คุณกำลังขายด้วย 

       ผลสำรวจของ MailChimp (E-mail Marketing) พบว่าช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00-11.00 น. และ 14.00-16.00 น.ที่นักการตลาดส่วนใหญ่เห็นว่ามีการเปิดและคลิกสูงสุด เกือบ ⅓ ของแคมเปญการตลาดทาง E-Mail ทั้งหมดที่ส่งไป  และผลการสำรวจช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการส่ง E-Mail ของ HubSpot (แพล็ตฟอร์ม Inbound Marketing) กว่า 20 ล้าน E-Mail ยืนยันว่าเวลา 11.00 น. เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการส่งอีเมลของคุณและถูกเปิดดูมากที่สุด

       4. ความถี่

       เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การทำการตลาด E-Mail มีความสม่ำเสมอ ตั้งแต่เวลาส่งและวันที่ส่ง โดย E-Mail สำหรับลูกค้า B2B จำเป็นต้องมีวินัยในการส่งให้ถี่ขึ้นเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างคุณและลูกค้า การส่งเคล็ดลับรายสัปดาห์และส่วนลดเป็นครั้งคราวให้กับลูกค้าหรือสมาชิกของคุณเป็นประจำบนหน้าต่างป๊อบอัพ มีส่วนทำให้คนติดตามและสมัครรับข้อมูลมากขึ้น ซึ่งในกรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องส่ง E-Mail รายวันอีก 

        สำหรับลูกค้า B2C มีแนวโน้มที่จะติดตามมการโปรโมทและดีลใหม่ๆ ที่มักจะจัดขึ้นในแต่ละช่วง เช่น Black Friday, Mid-Year Sale,11.11 วันคนโสด ที่มีการนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างล้นหลาม เป็นต้น ซึ่งเคล็ดลับการทำการตลาดลักษณะนี้ ได้แก่

      –  การทำการตลาดในวันหยุดสำคัญ เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจะขายดีและน่าสนใจมากขึ้น หากทำการตลาดในวัน Earth Day และมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เป็นต้น

       –  ส่ง E-Mail บ่อยขึ้น เป็นวิธีทำการตลาดเชิงรุก โดยเพิ่มความถี่ในการทำการตลาดให้มากขึ้น เข้าหาลูกค้าอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและสินค้าด้วย

       –  หาจุดที่พอดีที่สุดหรือ Sweet Spot ระหว่างคุณกับลูกค้าให้เจอ เช่น อาจส่ง E-Mail 2 ฉบับต่อ 1-4 สัปดาห์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ควรทำการทดสอบด้วยตัวเอง หากต้องการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อาจแบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แล้วทำการตลาดและสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ จะทำให้ทราบว่า ลูกค้าเหล่านี้มีความกระตือรือร้นที่จะได้รับข้อมูลจากคุณหรือไม่และยังสามารถกำหนดเป้าหมายสำหรับแคมเปญต่อไปได้ 

       5. เนื้อหา

       Content หรือเนื้อหาใน E-Mail สำหรับลูกค้า B2B ควรสื่อข้อดีของผลิตภัณฑ์และบริการว่าช่วยประหยัดเวลาและเงินได้อย่างไร สื่อสารข้อมูลที่เป็นจริงและมีประโยชน์ โดยอาจทำเป็นรูปแบบของ e-Book ฟรี เนื้อหาที่ให้ความรู้อาจเปลี่ยนให้ผู้อ่านกลายมาเป็นลูกค้าได้ 

      ส่วนเนื้อหาสำหรับลูกค้า B2C ควรเป็นเรื่องที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้รับได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับกิจกรรมพิเศษที่ต้องการประชาสัมพันธ์ หากมีคูปองที่จะใช้ไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดเพิ่มเติมว่าทำไมถึงมีการเสนอให้ เพื่อให้ดูน่าติดตามและน่าสนใจมากขึ้น

       อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะขาย B2B หรือ B2C สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การทำการตลาดผ่าน E-Mail เป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น 

      Ninjashipping บริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนคุณภาพ ให้บริการลูกค้า B2C ที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างมีคุณภาพ พร้อมจัดส่งถึงที่ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-114-7875

ที่มา: essenceofemail.com